What is N26

N26 เป็น “ธนาคาร” ใหม่ เพิ่งเปิดตัวที่เยอรมันเมื่อตอนต้นปี 2015 โดยในวันเปิดตัวมีบริการหลักแค่สองอย่างคือ บัญชีเงินฝากกระแสรายวัน กับบัตรมาสเตอร์การ์ดเท่านั้น แต่จุดเด่นก็คือการเป็น mobile-only bank (ก้าวข้าม mobile-first ไปแล้ว) ที่ถ้ามาดูวิธีการเปิดบัญชีแล้วจะเห็นว่าแทบไม่ต่างจากการลงแอปใหม่ในมือถือเลยครับ

  1. Download App (Play Store | App Store)
  2. สร้าง user account ใหม่ กรอกชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่
  3. กรอกข้อมูลเพิ่มเติม (KYC) เกิดประเทศไหน สัญชาติอะไร
  4. ยืนยัน e-mail address
  5. ยืนยันตัวตนลูกค้า (KYC) ผ่านแอปด้วย video call

ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่เกิน 8 นาที! เราก็สามารถเริ่มใช้งานได้แล้ว โดยมีแอปบนโทรศัพท์มือถือ Tablet รวมไปถึง Smart Watch ด้วย

number26-account-creationN26 ไม่มีสาขาแม้แต่สาขาเดียว แต่ลูกค้าสามารถฝาก/ถอนเงินสดได้ที่ตู้ ATM ของธนาคารอื่นๆ ส่วนการโอนเงินก็ทำในแอปได้เลย และบัตรมาสเตอร์การ์ดก็ใช้ได้เหมือนปกติ ไม่ว่าจะซื้อของออนไลน์หรือออฟไลน์

บัญชีเงินฝาก กับบัตรเดบิต สองอย่างก็ถือว่าครอบคลุมความต้องการของลูกค้าได้ระดับนึง อาจจะยังไม่ครบนักถ้าเทียบกับธนาคารทั่วไป แต่จุดเด่นของ N26 อยู่ที่รายละเอียดและ user experience ต่างหาก เช่น

  • การแจ้งเตือน ด้วย push notification แทนที่จะใช้ SMS (ทำไมธนาคารไม่ทำซะที?)
  • การ เปิด/ปิด หรือปรับฟีเจอร์ต่างๆ ได้ผ่านแอป เช่น ตั้งวงเงินในการโอน หรือจะปิดบัตรให้ใช้ตามร้านได้แต่ไม่ให้ใช้ซื้อของ online หรือปิดไม่ให้ใช้ในต่างประเทศ
  • ใช้บัตรซื้อของต่างประเทศได้โดยไม่มีค่าบริการพิเศษ (ปกติแล้วเวลาเรารูดบัตรซื้อของที่ต่างประเทศ นอกจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว เรายังเสียค่าบริการเพิ่มเติมอีก 2.5-3.5%)
  • ไม่มีค่าบริการรายเดือน (ค่ารักษาบัญชี)

น่าใช้ดีนะครับ

n26-screenshot-set1
(ซ้าย) push notification (ขวา) เปิด/ปิด ฟีเจอร์ต่างๆ

และภายใน 18 เดือนตั้งแต่เปิดมา N26 ก็เพิ่มผลิตภัณฑ์ธนาคารขึ้นมาอีกหลายอย่าง โดยตอนนี้ลูกค้าสามารถ

  • โอนเงินข้ามประเทศได้ 19 สกุลเงิน
  • ฝาก/ถอน เงินสดที่ร้านค้าและร้านสะดวกซื้อต่างๆ 6000 แห่ง
  • เบิก overdraft ได้
  • มีสถิติ personal finance ต่างๆ ให้ใช้วางแผนการเงิน มีทำเป็นรายงานสวยงามทีเดียว
n26-screenshot-set2
(ซ้าย) โอนเงินข้ามประเทศ (ขวา) เบิกเงินสดจากร้านสะดวกซื้อ โดยกดในแอปก่อน แล้วเอาบาร์โค้ดไปยื่นที่ร้าน
n26-screenshot-set3
(ซ้าย) การใช้วงเงิน overdraft (ขวา) รายงานการใช้จ่ายส่วนตัว

ตอนนี้ N26 ให้บริการอยู่ในประเทศฝั่งยุโรป ได้แก่ Austria, France, Greece, Germany, Ireland, Italy, Spain และ Slovakia

n26-customers

How N26 works

ในมุมลูกค้า ถือว่า N26 มีบริการที่สะดวกและน่าสนใจมากทีเดียว แต่มุมนักพัฒนานั้นน่าสนใจยิ่งกว่าซะอีก

เพราะแม้ว่า “ธนาคาร” N26 จะเปิดให้บริการลูกค้ามาประมาณหนึ่งปีครึ่งแล้ว มีลูกค้ามากกว่า 2 แสนคน แต่เพิ่งได้ใบอนุญาติประกอบธุรกิจธนาคารจาก ECB เมื่อไม่กี่วันนี้เอง (พร้อมกับการเปลี่ยนชื่อจาก NUMBER26)

อ้าว เฮ้ย! แล้วที่ผ่านๆ มานี่เป็นแบ้งค์เถื่อนหรือไง?

คำตอบก็คือ NUMBER26 สร้่าง “บริการธนาคาร” ขึ้นมาทำธุรกิจได้ในช่วงแรก ด้วย API และ Partnership ล้วนๆ เลยครับ

  • บัญชีเงินฝากกระแสรายวัน มี Wirecard Bank AG เป็นพาร์ตเนอร์ (และให้บริการภายใต้ใบอนุญาตของ Wirecard) โดยเงินฝากก็ได้รับการคุ้มครองเหมือนเงินฝากธนาคารทั่วไป
  • บัตรเดบิต มี Mastercard เป็นพาร์ตเนอร์
  • บริการโอนเงินข้ามประเทศ ใช้ระบบของ Transferwise
  • การให้บริการผ่านร้านค้า/ร้านสะดวกซื้อ ก็ไม่ได้สร้างเครื่อข่ายขึ้นเอง แต่มีพาร์ตเนอร์คือ Barzahlen ซึ่งให้บริการรับจ่ายค่าสินค้าและบริการ (คล้ายๆ Paysbuy)

บริการทั้งหมดนี้ ใช้งานอยู่บนแอปของ NUMBER26 ได้อย่าง seamless ด้วยระบบที่เชื่อมเข้าด้วยกันด้วย API ของแต่ละเจ้า

ซึ่งกลยุทธนี้เองที่ทำให้ NUMBER26 สามารถสร้างธนาคารเสมือนขึ้นมาแข่งกับธนาคารดั้งเดิมได้ และสร้างความแตกต่างด้วย User Experience ที่ดีกว่า

โดยการที่เพิ่งได้รับใบอนุญาติธนาคารเป็นของตัวเอง ก็จะทำให้ N26 (ชื่อใหม่) สามารถให้บริการต่างๆ ได้ครอบคลุมมากขึ้นอีกถ้าหากไม่มีพาร์ตเนอร์ที่เหมาะสม เช่นบริการด้านการลงทุน บัตรเครดิต หรือเงินกู้ประเภทต่างๆ และประกัน

n26-future-products

How N26 makes money

ตอนนี้ N26 มีรายได้ดอกเบี้ยจาก overdraft แต่ยังไม่มีต้นทุนดอกเบี้ยเงินฝาก รายได้ก็มาจากแหล่ง fee income ของธนาคารทั่วไปนั่นเอง

แต่เนื่องจากโครงสร้างที่เกิดจากการ bundle ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของพาร์ตเนอร์ รายได้ค่าธรรมเนียมนี้ก็จะต้องแบ่งกับพาร์ตเนอร์ด้วย เช่น

  • ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตประมาณ 2.5-3% แบ่งกับ Mastercard
  • F/X spread และค่าบริการ 0.5% แบ่งกับ Transferwise

และสำหรับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่จะมีเพิ่มเติมในอนาคต N26 บอกว่าก็มีความสุขกับการแบ่งค่าธรรมเนียมแบบนี้ถ้าหากมีพาร์ตเนอร์ที่เหมาะสม แต่ถ้าไม่มี ก็สามารถทำเองได้ เพราะตอนนี้ได้รับใบอนุญาตแล้ว

What can we learn from N26

1. ‘Best Of’ Partners 

ข้อดีของการให้บริการทางการเงินด้วยการ bundle ผลิตภัณฑ์จากพาร์ตเนอร์ต่างๆ ของ N26 นอกจากจะลดเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเอง และทำให้สามารถดำเนินการได้ด้วยทีมขนาดเล็กกว่าธนาคารทั่วไปแล้ว ข้อดีอีกข้อที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือ การทำแบบนี้ช่วยให้ N26 สามารถ Pick-And-Choose พาร์ตเนอร์ที่ดีที่สุด เก่งที่สุด หรือถูกที่สุด สำหรับบริการแต่ละด้านได้

แต่ก่อนเราอาจจะมีธนาคารหนึ่งที่เด่นด้านจุดให้บริการที่ครอบคลุม อีกธนาคารหนึ่งมีกองทุนรวมที่โดดเด่น และอีกธนาคารหนึ่งมีดอกเบี้ยเงินฝากที่ดีกว่าเจ้าอื่น

แต่เมื่อเราค่อยๆ เห็นบริษัท FinTech เข้ามา Disrupt บริการเดี่ยวๆ พวกนี้มากขึ้น ไอเดียของ N26 ที่จับบริการของ FinTech ที่เป็นหัวกะทิของตลาด แล้วมามัดรวมกันนี่ถือว่าฉลาดมาก เพราะเท่ากับว่ามี product range ที่เป็น all star เลย

n26-best-of-partners

ในโลกที่ API นับจะมีความสำคัญมากขึ้นทุกๆ วัน ผมคิดว่าการที่แต่ละผู้เล่นโฟกัสทำในสิ่งที่เป็น core ของตัวให้ดีที่สุดกว่าทุกๆ คน และเชื่อมต่อบริการกันอย่างนี้ เป็นวิธีการทำธุรกิจแบบใหม่ที่มีศักยภาพสูงมากครับ

2. Be Lean

ตอนนี้ N26 มีลูกค้าประมาณ 2 แสนราย แต่มีพนักงานแค่ 140 คน เท่ากับลูกค้าประมาณ 1,400 คนต่อพนักงาน 1 คน

เทียบกับ Wells Fargo มีลูกค้าทั่วโลก 70 ล้านราย มีพนักงานประมาณ 264,000 คน เท่ากับลูกค้า 265 คน ต่อพนักงาน 1 คน

หรืออาจพูดว่า N26 ใช้พนักงาน 1 คน ให้บริการลูกค้าได้มากเป็น 5.5 เท่าของ Wells Fargo

ปกติเราจะคุ้นกับหลักการ Economy of Scale ยิ่งบริษัทใหญ่ก็ยิ่งได้เปรียบเรื่อง Scale แต่ในกรณีของ N26 นี้กลับกัน เพราะพอไม่มีสาขา การขยายฐานลูกค้าก็ไม่จำเป็นต้องขยายจำนวนพนักงานตามกันแบบเป็นเส้นตรง ทำให้สามารถ scale ธุรกิจแบบธนาคารได้ในลักษณะเหมือนธุรกิจออนไลน์

แน่นอนว่าหลักการนี้ใช้ไม่ได้กับทุกๆ กรณี แต่การมีวีธีควบคุมหรือลด cost ของเราให้น้อยกว่าของคู่แข่งได้ เป็น competitive advantage ที่ไม่เซ็กซี่แต่ทรงพลังมากครับ

3. Convert Visitor to Customer on Their Couch

อย่างที่เล่าไปแล้วตอนต้นว่าเราสามารถเปิดบัญชีกับ N26 ได้ภายใน 8 นาที โดยทุกอย่างจบได้บนมือถือ (ผมลองมาแล้ว) แม้กระทั่งกระบวนการ KYC ซึ่งปกติแล้วเป็นขั้นตอนที่มักจะต้องจบด้วยกระดาษ ก็สามาถทำได้ด้วยการ video call หรือการถ่าย selfie หน้าเราคู่กับบัตรประชาชน

ถ้าบริการไหนสามารถทำได้แบบนี้ โอกาสที่จะเติบโตด้วย virality / social media / word of mouth ก็จะสูงขึ้นมาก เพราะตีเหล็กต้องตีตอนที่ยังร้อน ถ้าดูโฆษณาตอนละครหลังข่าว ตื่นเช้ามาก็ลืมไปแล้ว แต่ถ้า download แอปมาแล้วเริ่มใช้งานได้เดี๋ยวนั้นเลย โอกาส convert ก็ดีกว่าแน่นอน

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here